ภาวะผู้นำของสตรีในการปกครองท้องที่ของไทย

337 pages

Saved in:
Bibliographic Details
Main Author: สมิหรา จิตตลดากร
Other Authors: กนลา สุขพานิช-ขันทปราบ
Format: Theses and Dissertations
Language:Thai
Published: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 1986
Subjects:
Online Access:https://digiverse.chula.ac.th/Info/item/dc:70107
Tags: Add Tag
No Tags, Be the first to tag this record!
Institution: Chulalongkorn University
Language: Thai
id 70107
record_format dspace
institution Chulalongkorn University
building Chulalongkorn University Library
continent Asia
country Thailand
Thailand
content_provider Chulalongkorn University Library
collection Chulalongkorn University Intellectual Repository
language Thai
topic ผู้นำชุมชน
สตรีกับการเมือง
สตรีกับการเมือง -- ไทย
สตรี -- ไทย
spellingShingle ผู้นำชุมชน
สตรีกับการเมือง
สตรีกับการเมือง -- ไทย
สตรี -- ไทย
สมิหรา จิตตลดากร
ภาวะผู้นำของสตรีในการปกครองท้องที่ของไทย
description 337 pages
author2 กนลา สุขพานิช-ขันทปราบ
author_facet กนลา สุขพานิช-ขันทปราบ
สมิหรา จิตตลดากร
format Theses and Dissertations
author สมิหรา จิตตลดากร
author_sort สมิหรา จิตตลดากร
title ภาวะผู้นำของสตรีในการปกครองท้องที่ของไทย
title_short ภาวะผู้นำของสตรีในการปกครองท้องที่ของไทย
title_full ภาวะผู้นำของสตรีในการปกครองท้องที่ของไทย
title_fullStr ภาวะผู้นำของสตรีในการปกครองท้องที่ของไทย
title_full_unstemmed ภาวะผู้นำของสตรีในการปกครองท้องที่ของไทย
title_sort ภาวะผู้นำของสตรีในการปกครองท้องที่ของไทย
publisher จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
publishDate 1986
url https://digiverse.chula.ac.th/Info/item/dc:70107
_version_ 1831162413156663296
spelling 701072024-03-25T03:33:41Z https://digiverse.chula.ac.th/Info/item/dc:70107 ©จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย Thesis 10.58837/CHULA.THE.1986.503 tha สมิหรา จิตตลดากร ภาวะผู้นำของสตรีในการปกครองท้องที่ของไทย Woman leadership in Thai local administration 1986 1986 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 337 pages แม้จะเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในหลักการให้สิทธิแก่บุรุษและสตรีเท่าเทียมกัน แต่ในทางปฏิบัติแล้ว สตรีมีเพียงจำนวนน้อยมากที่มีส่วนร่วมทางการเมืองในทุกระดับภายหลังการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ. ลักษณะปกครองท้องที่ (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2525 ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2525 ทำให้สตรีมีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งในตำแหน่งผู้นำทางการเมืองในการปกครองท้องที่ ปรากฏว่าสตรีได้รับเลือกตั้ง และแต่งตั้งในตำแหน่งต่าง ๆ (กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน สารวัตรกำนัน และแพทย์ประจำตำบล) เพิ่มมากขึ้น จึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจว่า อะไรเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สตรีได้รับการแต่งตั้งและเลือกตั้งดังกล่าว สตรีที่เข้าสู่ตำแหน่งผู้นำทางการเมืองในระดับท้องที่ด้วยวิธีการที่แตกต่างกัน (แต่งตั้งหรือเลือกตั้ง) จะมีลักษณะการทำงานของสตรีผู้นำทางการเมืองระดับท้องที่มีความสัมพันธ์กับวิธีการจัดการในการบริหารงานรัฐกิจอย่างไร สตรีผู้นำเหล่านี้อาศัยคุณธรรมประการใดบ้างในการปกครอง และได้รับการยอมรับจากผู้นำชุมชนคนอื่น ๆ ในการปฏิบัติงานด้านใด งานวิจัยนี้ได้ทำการศึกษากลุ่มประชากร 3 กลุ่ม ในระหว่างวันที่ 25 ตุลาคม 2528 ถึงวันที่ 30 เมษายน 2529 (ช่วงเวลาการออกภาคสนามและการเก็บรวบรวมข้อมูล ประมาณ 6 เดือน) กลุ่มประชากรทั้ง 3 กลุ่ม ใช้วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลแตกต่างกัน คือ 1. ส่งแบบสอบถามแก่สตรีผู้ดำรงตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน สารวัตรกำนันและแพทย์ประจำตำบลทั่วประเทศ จำนวน 714 ชุด แต่ได้รับแบบสอบถามกลับมาจำนวน 605 ชุด คิดเป็นร้อยละ 85 ของจำนวนประชากรทั้งหมด 2. สัมภาษณ์กำนันสตรีแบบเจาะลึก ด้วยคำถามเปิดและใช้แบบสอบถามจากจำนวนกำนันสตรีทั่วประเทศ 17 คน ได้ทำการสัมภาษณ์กำนันสตรี 14 คน คิดเป็นร้อยละ 82 ของกำนันสตรีทั้งหมด 3. สัมภาษณ์คณะกรรมการสภาตำบล 12 ตำบล ที่มีกำนันเป็นสตรี โดยใช้แบบสอบถามจำนวน 209 คน คิดเป็นร้อยละ 73 ของจำนวนสมาชิกสภาตำบลทั้งหมด 286 คน ผลการวิจัย พบว่า ในเรื่องภูมิหลังสตรีผู้นำทางการเมือง ส่วนใหญ่จะมีอายุระหว่าง 40-49 ปี สมรสแล้วและอยู่กับคู่สมรส มีบุตรระหว่าง 1-3 คน มาจากครอบครัวที่บิดามารดามีบุตรระหว่าง 6-9 คน มีพี่น้องเป็นชายอยู่ระหว่าง 1-3 คน สตรีผู้นำเหล่านี้ส่วนใหญ่จบชั้น ป.4-ป.7 ระดับของรายได้อยู่ในฐานะปานกลาง (2,000-4,000 บาทต่อเดือน)มีอาชีพเป็นเกษตรกรมาจากครอบครัวเกษตรกรและเป็นผู้มีภูมิลำเนาอยู่ในสถานที่เดิมที่ดำรงตำแหน่งผู้นำทางการเมืองอยู่ และในครอบครัวของสตรีผู้นำนี้จะมีความขัดแย้งกันบ้าง แต่จะไม่บ่อยนัก ส่วนใหญ่แล้วสตรีผู้นำทางการเมืองในระดับท้องที่จะเป็นผู้ที่ไม่กระตือรือร้น แต่มองโลกในแง่ดี มีเพียงส่วนน้อยที่เป็นผู้ที่กระตือรือร้นและมองโลกในแง่ร้าย ความกระตือรือร้นของสตรีก็จะเน้นหนักไปในงานที่เกี่ยวข้องกับองค์การของราชการมากกว่าภารกิจที่ไม่ใช่ของทางราชการ ลักษณะการทำงานดังกล่าวนั้น สอดคล้องกับลักษณะการจัดการในเชิงการบริหาร กล่าวคือ ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่ไม่นิยมในการใช้อำนาจ ใช้วิธีการสร้างความเข้าใจให้กับประชาชน ใช้ความสุภาพ ทำให้คนทั้งเกรงใจและกลัวเกรงควบคู่กัน มีการวางแผนล่วงหน้าเสมอ เน้นเป้าหมายเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ในด้านคุณธรรมในการปกครอง สตรีผู้นำส่วนใหญ่จะเป็นผู้เสียสละ ให้ทาน ทำบุญ ซื่อตรง อดทน และไม่ใช้อารมณ์ แต่นิยมการเรี่ยไรเงินทองหรือแรงงานจากชาวบ้าน สตรีผู้นำที่มาจากการเลือกตั้งจะเน้นการวางแผน การชี้แจงต่อประชาชน การทำให้คนเกรงใจ ไม่นิยมในอำนาจ และเสียสละมากกว่าสตรีผู้นำที่มาจากการแต่งตั้ง จากการศึกษาพบว่า จำนวนความถี่ของการทะเลาะภายในครอบครัวของสตรีผู้นำ จะมีผลกระทบต่อบทบาทการเป็นผู้นำแบบชาวบ้านมองปัญหาใกล้ตัวหรือการเป็นผู้นำแบบทันสมัยมองปัญหาไกลตัว และยิ่งสตรีมีการศึกษาสูงก็จะใช้ความเด็ดขาดน้อยลง จำนวนพี่น้องที่เป็นชายของสตรีผู้นำจะส่งผลกระทบต่อความเด็ดขาดของสตรีผู้นำด้วย สตรีผู้นำที่เป็นแบบอัตตาธิปไตย จะนิยมในอำนาจ ยกย่องเพศชาย แบ่งแยกเพศ ก้าวร้าว เมื่อปฏิบัติงานร่วมกับประชาชนจะพยายามทำให้ประชาชนเกรงใจ มีความมั่นใจในตัวเองสูง ใช้ความเด็ดขาดมาก แต่เมื่อปฏิบัติงานร่วมกับคณะกรรมการระดับตำบล หมู่บ้าน จะใช้ความสุภาพอ่อนโยน มีการวางแผนล่วงหน้า ซึ่งเป็นลักษณะที่ตรงกันข้ามกับสตรีผู้นำแบบประชาธิปไตย และยิ่งสตรีเข้าไปเกี่ยวข้องกับการตัดสินข้อขัดแย้งมากเท่าใดก็จะยิ่งใช้อำนาจมากขึ้น วางแผนมากขึ้น พบปะกับประชาชนบ่อยครั้งขึ้น ยิ่งสตรีเข้าไปมีบทบาทในชุมชนมากเท่าใดก็จะยิ่งควบคุมงานมากขึ้น มีการวางแผนและรายงานต่อประชาชนมากขึ้นด้วย ยิ่งสตรีเข้าไปมีบทบาททางการเมืองมากเท่าใด ก็จะยิ่งนิยมในอำนาจ วางแผนมากขึ้น รักงานและแบ่งแยกเพศมากขึ้น สตรีผู้นำจะให้ความสำคัญต่อการทำงานที่แตกต่างกัน จำแนกได้เป็น 7 แบบ คือให้ความสำคัญต่อ การประชุม การปรับตัว การเป็นผู้นำ การประสานความคิด การใช้เหตุผล การสร้างภาพพจน์ต่อชุมชน และการอะลุ่มอล่วย ส่วนวิธีการจัดการและโลกทัศน์ของสตรีผู้นำ จำแนกได้เป็น 9 แบบ ที่แตกต่างกัน คือ แบบให้ความสำคัญต่อ การบริการประชาชน การปกครองคน การแบ่งแยกทางเพศ การใช้อารมณ์ การเป็นผู้ให้ การใช้อำนาจ การรักษาความดี การรักษาผลประโยชน์ของท้องถิ่น และการเรี่ยไร สตรีจะมีโอกาสเข้าสู่ตำแหน่งกำนันในชุมชนที่เจริญแล้ว มากกว่าชุมชนที่ยังไม่เจริญ กำนันสตรีส่วนใหญ่มาจากชนชั้นกลางมีฐานะทางเศรษฐกิจดี มีภูมิหลังทางครอบครัวที่สัมพันธ์กับตำแหน่งทางการเมือง ปัจจัยทางครอบครัว ทำให้สตรีสมัครเข้าสู่ตำแหน่งกำนัน และถ้าสตรีมีความคิดเป็นนักธุรกิจ มีทักษะทางการเมือง มีความทะเยอทะยาน ขยันขันแข็ง จะช่วยให้เข้าสู่อำนาจทางการเมืองได้ง่าย สตรีใช้วิธีสร้างศรัทธาจากประชาชนเป็นแรมปี และเมื่อถึงวันเลือกตั้งก็มักจะใช้จิตวิทยามวลชนที่สูงกว่าผู้แข่งขัน เมื่อได้รับตำแหน่งแล้วจะพยายามขจัดอิทธิพลเดิมที่ขัดขวางการทำงานของกำนันสตรี ด้วยการสร้างสัญลักษณ์แห่งอำนาจ และเน้นผลงานด้านการพัฒนา ในเรื่องการยอมรับจากผู้นำชุมชนอื่น ๆ กำนันสตรีได้รับการยอมรับในเรื่องการมีหลักธรรมะในการปกครอง โดยเฉพาะเรื่องความสุภาพอ่อนโยน ในด้านหน้าที่ได้รับการยอมรับในเรื่องหน้าที่การบำรุงสาธารณประโยชน์ การบำบัดทุกข์บำรุงสุข และการรักษาวัฒนธรรมประเพณี ส่วนใหญ่กำนันสตรีมีความรอบรู้อยู่ในระดับปานกลาง แต่มีความสามารถในการประสานงานมากพอ ๆ กับการพบประชาชนและการควบคุมงาน สิ่งที่ได้รับการยอมรับน้อย คือหน้าที่ด้านการสืบสวนข้อเท็จจริง และการเรี่ยไรเงินทองหรือแรงงานจากชาวบ้าน ข้อสรุปจากการวิจัยนี้ชี้ให้เห็นว่า สตรีที่เข้าสู่ตำแหน่งทางการเมืองในระดับท้องถิ่น ได้รับอิทธิพลจากปัจจัยเฉพาะตัว ครอบครัว และสิ่งแวดล้อมในลักษณะที่ส่งเสริมและเป็น อุปสรรคแตกต่างกัน ผลลัพธ์จากภูมิหลังของสตรีผู้นำและครอบครัว วิธีการทำงานและมีรูปแบบทางการเมืองที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าสตรีผู้นำจะใช้วิธีการใด การใช้พระเดชหรือการใช้พระคุณ การใช้ฐานะทางการเงิน หรือการใช้ธรรมะ ต่างก็นำไปสู่ความสัมฤทธิผลทางการปกครอง ทำให้ชุมชนมีการพัฒนา มีความสงบสุข[ร่มเย็น]ได้เช่นเดียวกัน ผู้นำชุมชน สตรีกับการเมือง สตรีกับการเมือง -- ไทย สตรี -- ไทย กนลา สุขพานิช-ขันทปราบ พรศักดิ์ ผ่องแผ้ว https://digiverse.chula.ac.th/digital/file_upload/biblio/cover/70107.jpg