ประวัติศาสตร์นิพนธ์ไทย พ.ศ.2475-พ.ศ.2516
ในกระบวนการศึกษาประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์นิพนธ์เป็นแกนกลางสำคัญอันหนึ่งควบคู่ไปกับปรัชญาประวัติศาสตร์ ในขณะที่ปรัชญาประวัติศาสตร์มีบทบาทในฐานะแนวคิดอุดมการณ์ ประวัติศาสตร์นิพนธ์ได้มีบทบาทสำคัญในการแปรแนวคิด อุดมการณ์นั้นออกมาเป็นปฏิบัติการสร้างสรรค์ผลงานทางประวัติศาสตร์ พร้อมกันนั้นประวัติศาสตร์นิ...
محفوظ في:
المؤلف الرئيسي: | |
---|---|
مؤلفون آخرون: | |
التنسيق: | Theses and Dissertations |
اللغة: | Thai |
منشور في: |
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
1987
|
الوصول للمادة أونلاين: | https://digiverse.chula.ac.th/Info/item/dc:69586 |
الوسوم: |
إضافة وسم
لا توجد وسوم, كن أول من يضع وسما على هذه التسجيلة!
|
المؤسسة: | Chulalongkorn University |
اللغة: | Thai |
الملخص: | ในกระบวนการศึกษาประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์นิพนธ์เป็นแกนกลางสำคัญอันหนึ่งควบคู่ไปกับปรัชญาประวัติศาสตร์ ในขณะที่ปรัชญาประวัติศาสตร์มีบทบาทในฐานะแนวคิดอุดมการณ์ ประวัติศาสตร์นิพนธ์ได้มีบทบาทสำคัญในการแปรแนวคิด อุดมการณ์นั้นออกมาเป็นปฏิบัติการสร้างสรรค์ผลงานทางประวัติศาสตร์ พร้อมกันนั้นประวัติศาสตร์นิพนธ์ยังเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้การศึกษาประวัติศาสตร์เป็นระบบ อันจะส่งผลต่อเนื่องถึงพัฒนาการของการศึกษาประวัติศาสตร์ด้วย วิทยานิพนธ์ฉบับนี้มุ่งศึกษาประวัติศาสตร์นิพนธ์ในช่วง พ.ศ. 2475 – 2516 เพื่อวิเคราะห์หาแนวการเขียนประวัติศาสตร์นิพนธ์ ทั้งกระแสหลักและกระแสรองอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นโดยการศึกษาจากงานเขียนประวัติศาสตร์ไทยที่เขียนขึ้น พิมพ์เผยแพร่ และมีบทบาทอยู่ในช่วงเวลาที่ศึกษา เนื่องจากประวัติศาสตร์นิพนธ์เป็นรูปการแสดงออกทางภูมิปัญญารูปการหนึ่งของสังคม ซึ่งเกิดขึ้นอย่างมีปฏิสัมพันธ์กับเงื่อนไขปัจจัยแวดล้อม การศึกษาประวัติศาสตร์นิพนธ์ไทยจึงจำเป็นต้องศึกษาเงื่อนไขทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมและภูมิปัญญาควบคู่กันไปด้วย ผลของการศึกษาพบว่า ประวัติศาสตร์นิพนธ์ไทยกระแสหลักคือ ประวัติศาสตร์นิพนธ์ไทยที่เน้นความเป็นศูนย์กลางที่รัฐชาติ-กษัตริย์-ชาตินิยม ซึ่งเปลี่ยนแปลงอย่างสืบเนื่องมาจากประวัติศาสตร์นิพนธ์ไทยแบบพงศาวดาร ในเวลาเดียวกัน ก็เกิด ประวัติศาสตร์นิพนธ์กระแสรองคือ ประวัติศาสตร์นิพนธ์ที่ใช้แนวการวิเคราะห์แบบสังคมนิยมพัฒนาการของประวัติศาสตร์นิพนธ์ทั้งสองกระแสได้นำไปสู่การศึกษาประวัติศาสตร์ไทยภายหลังปี พ.ศ. 2516 ยังคงมีแนวการเขียนประวัติศาสตร์ทั้งสองกระแสนี้ดำรงอยู่จนถึงปัจจุบัน |
---|