ทัศนคติทางการเมืองของวุฒิสมาชิกสายทหารต่อพรรคการเมืองไทย

สถาบันทหารถือเป็นสถาบันที่มีความสำคัญสถาบันหนึ่งในระบบการเมืองไทย วุฒิสมาชิกสายทหารถือเป็นชนชั้นนำทางการเมืองของสถาบันทหาร การศึกษาถึงทัศนคติของวุฒิสมาชิกสายทหารที่มีต่อพรรคการเมืองไทยนี้ ก็เพื่อจะทำให้พรรคการเมืองต่างๆ ในประเทศไทยได้ทราบถึงทัศนคติของชนชั้นนำทางการเมืองของสถาบันทหารว่ามองพรรคการเมือ...

وصف كامل

محفوظ في:
التفاصيل البيبلوغرافية
المؤلف الرئيسي: พิสัณห์ จุลดิลก
مؤلفون آخرون: กนลา สุขพานิช-ขันทปราบ
التنسيق: Theses and Dissertations
اللغة:Thai
منشور في: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 1987
الوصول للمادة أونلاين:https://digiverse.chula.ac.th/Info/item/dc:69376
الوسوم: إضافة وسم
لا توجد وسوم, كن أول من يضع وسما على هذه التسجيلة!
المؤسسة: Chulalongkorn University
اللغة: Thai
id 69376
record_format dspace
institution Chulalongkorn University
building Chulalongkorn University Library
continent Asia
country Thailand
Thailand
content_provider Chulalongkorn University Library
collection Chulalongkorn University Intellectual Repository
language Thai
description สถาบันทหารถือเป็นสถาบันที่มีความสำคัญสถาบันหนึ่งในระบบการเมืองไทย วุฒิสมาชิกสายทหารถือเป็นชนชั้นนำทางการเมืองของสถาบันทหาร การศึกษาถึงทัศนคติของวุฒิสมาชิกสายทหารที่มีต่อพรรคการเมืองไทยนี้ ก็เพื่อจะทำให้พรรคการเมืองต่างๆ ในประเทศไทยได้ทราบถึงทัศนคติของชนชั้นนำทางการเมืองของสถาบันทหารว่ามองพรรคการเมืองเป็นอย่างไร พรรคการเมืองควรทำอย่างไร เพื่อก่อให้เกิดความเข้าใจอันดีระหว่างวุฒิสมาชิกสายทหารต่อพรรคการเมืองและนักการเมือง และเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาพรรคการเมืองและนักการเมือง ให้เป็นที่ยอมรับของคณะทหารและประชาชนโดยทั่วไปการศึกษาวิจัยในครั้งนี้ใช้เวลาในการศึกษาวิจัยระหว่างเดือนสิงหาคม พ.ศ.2529 ถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2530 โดยมีวัตถุประสงค์ประการแรก เพื่อทราบถึงทัศนคติของวุฒิสมาชิกสายทหารที่มี ต่อพรรคการเมืองและนักการเมืองว่ามีบทบาทสำคัญทั้งด้านบวกและด้านลบต่อการพัฒนาทางการเมืองของไทยอย่างไร โดยเฉพาะบทบาทในการเสริมสร้าง หรือทำลายล้างระบอบประชาธิปไตย ประการที่สอง เพื่อทราบถึงแนวความคิดของวุฒิสมาชิกสายทหารว่า พรรคการเมืองและนักการเมืองควรจะมีการพัฒนาและปรับเปลี่ยนบทบาทอย่างไร จึงจะเอื้ออำนวยต่อการสร้างระบอบประชาธิปไตยที่มั่นคงและมีเสถียรภาพ เพื่อตอบสนองวัตถุประสงค์ของการวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ตั้งสมมุติฐานในการวิจัยไว้ดังนี้ 1. วุฒิสมาชิกสายทหารมีทัศนคติเชิงสนับสนุนและยอมรับว่าพรรคการเมืองเป็นสถาบันที่จำเป็นในระบอบประชาธิปไตย 2. วุฒิสมาชิกสายทหารมีทัศนคติเชิงลบต่อบทบาทของพรรคการเมืองไทยในฐานะตัวแทนผลประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่ กล่าวคือ เชื่อว่าพรรคการเมืองมักจะดำเนินการเพื่อผลประโยชน์ของพรรค กลุ่ม และผลประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าผลประโยชน์ของชาติ 3. ในภาวะปัจจุบัน วุฒิสมาชิกสายทหารส่วนใหญ่ยังมีทัศนคติเชิงลบต่อบทบาทและพฤติกรรมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยเฉพาะในด้านการขาดอุดมการณ์ การศึกษาและประสบการณ์ทางการเมือง จึงยังไม่สนับสนุนให้พรรคการเมืองแสดงบทบาททางการเมืองอย่างเต็มที่โดยลำพัง 4. เมื่อใดก็ตามที่เกิดภาวะความขัดแย้งขึ้นในพรรคการเมือง หรือระหว่างพรรคการเมืองอันจะกระทบกระเทือนต่อเสถียรภาพของรัฐบาล และความมั่นคงของประเทศชาติ วุฒิสมาชิกสายทหารมีแนวโน้มที่จะสนับสนุนให้สถาบันทหารเข้าแทรกแซงทางการเมือง ผู้วิจัยได้สร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยในรูปของแบบสอบถาม เพื่อวัดทัศนคติของวุฒิสมาชิกสายทหาร ในการทดสอบสมมุติฐาน โดยแบบสอบถามประกอบด้วยคำถามที่ผ่านการทดสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา การคำนวณค่าอำนาจจำแนก และค่าความเชื่อมั่น มีคำถามทั้งสิ้น 50 ข้อ รวบรวมข้อมูลจากวุฒิสมาชิกทหาร ทั้งในประจำการและนอกประจำการที่ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งวุฒิสมาชิกปฏิบัติหน้าที่อยู่ในวุฒิสภาร่วมกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในรัฐสภา ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2529 มีจำนวนทั้งสิ้น 140 นาย แยกเป็นนายทหารบก 75 นาย นายทหารเรือ 34 นาย และนายทหารอากาศ 31 นาย แจกแบบสอบถามแบบไม่สุ่มตัวอย่าง การวิเคราะห์ข้อมูลใช้วิธีการทางสถิติ คือแจกแจงความถี่เป็นร้อยละ ค่าเฉลี่ย การทดสอบไคสแควร์ (Chi-square) และการหาค่านัยสำคัญของความแตกต่างระหว่างข้อมูล (Significant difference) ผลการศึกษาวิจัยพบว่า 1. ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในทัศนคติของวุฒิสมาชิกสายทหารที่มีส่วนราชการที่สังกัด สถานภาพการรับราชการ จำนวนครั้งที่ดำรงตำแหน่งวุฒิสมาชิก การศึกษาในวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร และการดำรงตำแหน่งในคณะกรรมาธิการ ที่แตกต่างกัน ซึ่งส่วนใหญ่ ยอมรับว่าพรรคการเมือง เป็นสถาบันที่จำเป็นในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย 2. ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในทัศนคติของวุฒิสมาชิกสายทหารที่มีส่วนราชการที่สังกัด สถานภาพการรับราชการ จำนวนครั้งที่ดำรงตำแหน่งวุฒิสมาชิก การศึกษาในวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร และการดำรงตำแหน่งในคณะกรรมาธิการที่แตกต่างกัน ซึ่งส่วนใหญ่ยังไม่ยอมรับและยังไม่แน่ใจว่าพรรคการเมืองของไทยจะเป็นตัวแทนเรียกร้องผลประโยชน์ต่าง ๆ ให้กับประชาชนได้ แต่กลับเห็นว่าพรรคการเมืองของไทย มักจะแสวงหาผลประโยชน์ให้กับพรรค และกลุ่มที่สนับสนุนพรรคของตน 3. ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในทัศนคติวุฒิสมาชิกสายทหารที่มีส่วนราชการที่สังกัด สถานภาพการรับราชการ และการดำรงตำแหน่งในคณะกรรมาธิการที่แตกต่างกัน ซึ่งส่วนใหญ่ยังไม่ยอมรับเกี่ยวกับบทบาทและพฤติกรรมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในปัจจุบัน เพราะเห็นว่าเป็นผู้ที่ขาดอุดมการณ์ การศึกษา และประสบการณ์ทางการเมือง จึงยังไม่สนับสนุนให้แสดงบทบาททางการเมืองในรัฐสภาโดยลำพังฝ่ายเดียว เมื่อพิจารณาถึงจำนวนครั้งที่ดำรงตำแหน่งวุฒิสมาชิก การศึกษาในวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร พบว่ามีทัศนคติในประเด็นดังกล่าวแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 4. ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในทัศนคติของวุฒิสมาชิกสายทหารที่มีส่วนราชการที่สังกัด สถานภาพการรับราชการ จำนวนครั้งที่ดำรงตำแหน่งวุฒิสมาชิก การศึกษาในวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร และการดำรงตำแหน่งในคณะกรรมาธิการ ที่แตกต่างกัน ซึ่งส่วนใหญ่สนับสนุนให้ทหารเข้าแทรกแซงทางการเมือง ทั้งนี้เพื่อให้เกิดเสถียรภาพแก่รัฐบาล ผลจากการศึกษาวิจัยนี้ เป็นไปตามสมมุติฐานของการวิจัยทุกประการ
author2 กนลา สุขพานิช-ขันทปราบ
author_facet กนลา สุขพานิช-ขันทปราบ
พิสัณห์ จุลดิลก
format Theses and Dissertations
author พิสัณห์ จุลดิลก
spellingShingle พิสัณห์ จุลดิลก
ทัศนคติทางการเมืองของวุฒิสมาชิกสายทหารต่อพรรคการเมืองไทย
author_sort พิสัณห์ จุลดิลก
title ทัศนคติทางการเมืองของวุฒิสมาชิกสายทหารต่อพรรคการเมืองไทย
title_short ทัศนคติทางการเมืองของวุฒิสมาชิกสายทหารต่อพรรคการเมืองไทย
title_full ทัศนคติทางการเมืองของวุฒิสมาชิกสายทหารต่อพรรคการเมืองไทย
title_fullStr ทัศนคติทางการเมืองของวุฒิสมาชิกสายทหารต่อพรรคการเมืองไทย
title_full_unstemmed ทัศนคติทางการเมืองของวุฒิสมาชิกสายทหารต่อพรรคการเมืองไทย
title_sort ทัศนคติทางการเมืองของวุฒิสมาชิกสายทหารต่อพรรคการเมืองไทย
publisher จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
publishDate 1987
url https://digiverse.chula.ac.th/Info/item/dc:69376
_version_ 1831162187034394624
spelling 693762024-03-24T22:47:55Z https://digiverse.chula.ac.th/Info/item/dc:69376 ©จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย Thesis 10.58837/CHULA.THE.1987.557 tha พิสัณห์ จุลดิลก ทัศนคติทางการเมืองของวุฒิสมาชิกสายทหารต่อพรรคการเมืองไทย The political attitical of the military senators towards political parties 1987 1987 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันทหารถือเป็นสถาบันที่มีความสำคัญสถาบันหนึ่งในระบบการเมืองไทย วุฒิสมาชิกสายทหารถือเป็นชนชั้นนำทางการเมืองของสถาบันทหาร การศึกษาถึงทัศนคติของวุฒิสมาชิกสายทหารที่มีต่อพรรคการเมืองไทยนี้ ก็เพื่อจะทำให้พรรคการเมืองต่างๆ ในประเทศไทยได้ทราบถึงทัศนคติของชนชั้นนำทางการเมืองของสถาบันทหารว่ามองพรรคการเมืองเป็นอย่างไร พรรคการเมืองควรทำอย่างไร เพื่อก่อให้เกิดความเข้าใจอันดีระหว่างวุฒิสมาชิกสายทหารต่อพรรคการเมืองและนักการเมือง และเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาพรรคการเมืองและนักการเมือง ให้เป็นที่ยอมรับของคณะทหารและประชาชนโดยทั่วไปการศึกษาวิจัยในครั้งนี้ใช้เวลาในการศึกษาวิจัยระหว่างเดือนสิงหาคม พ.ศ.2529 ถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2530 โดยมีวัตถุประสงค์ประการแรก เพื่อทราบถึงทัศนคติของวุฒิสมาชิกสายทหารที่มี ต่อพรรคการเมืองและนักการเมืองว่ามีบทบาทสำคัญทั้งด้านบวกและด้านลบต่อการพัฒนาทางการเมืองของไทยอย่างไร โดยเฉพาะบทบาทในการเสริมสร้าง หรือทำลายล้างระบอบประชาธิปไตย ประการที่สอง เพื่อทราบถึงแนวความคิดของวุฒิสมาชิกสายทหารว่า พรรคการเมืองและนักการเมืองควรจะมีการพัฒนาและปรับเปลี่ยนบทบาทอย่างไร จึงจะเอื้ออำนวยต่อการสร้างระบอบประชาธิปไตยที่มั่นคงและมีเสถียรภาพ เพื่อตอบสนองวัตถุประสงค์ของการวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ตั้งสมมุติฐานในการวิจัยไว้ดังนี้ 1. วุฒิสมาชิกสายทหารมีทัศนคติเชิงสนับสนุนและยอมรับว่าพรรคการเมืองเป็นสถาบันที่จำเป็นในระบอบประชาธิปไตย 2. วุฒิสมาชิกสายทหารมีทัศนคติเชิงลบต่อบทบาทของพรรคการเมืองไทยในฐานะตัวแทนผลประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่ กล่าวคือ เชื่อว่าพรรคการเมืองมักจะดำเนินการเพื่อผลประโยชน์ของพรรค กลุ่ม และผลประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าผลประโยชน์ของชาติ 3. ในภาวะปัจจุบัน วุฒิสมาชิกสายทหารส่วนใหญ่ยังมีทัศนคติเชิงลบต่อบทบาทและพฤติกรรมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยเฉพาะในด้านการขาดอุดมการณ์ การศึกษาและประสบการณ์ทางการเมือง จึงยังไม่สนับสนุนให้พรรคการเมืองแสดงบทบาททางการเมืองอย่างเต็มที่โดยลำพัง 4. เมื่อใดก็ตามที่เกิดภาวะความขัดแย้งขึ้นในพรรคการเมือง หรือระหว่างพรรคการเมืองอันจะกระทบกระเทือนต่อเสถียรภาพของรัฐบาล และความมั่นคงของประเทศชาติ วุฒิสมาชิกสายทหารมีแนวโน้มที่จะสนับสนุนให้สถาบันทหารเข้าแทรกแซงทางการเมือง ผู้วิจัยได้สร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยในรูปของแบบสอบถาม เพื่อวัดทัศนคติของวุฒิสมาชิกสายทหาร ในการทดสอบสมมุติฐาน โดยแบบสอบถามประกอบด้วยคำถามที่ผ่านการทดสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา การคำนวณค่าอำนาจจำแนก และค่าความเชื่อมั่น มีคำถามทั้งสิ้น 50 ข้อ รวบรวมข้อมูลจากวุฒิสมาชิกทหาร ทั้งในประจำการและนอกประจำการที่ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งวุฒิสมาชิกปฏิบัติหน้าที่อยู่ในวุฒิสภาร่วมกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในรัฐสภา ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2529 มีจำนวนทั้งสิ้น 140 นาย แยกเป็นนายทหารบก 75 นาย นายทหารเรือ 34 นาย และนายทหารอากาศ 31 นาย แจกแบบสอบถามแบบไม่สุ่มตัวอย่าง การวิเคราะห์ข้อมูลใช้วิธีการทางสถิติ คือแจกแจงความถี่เป็นร้อยละ ค่าเฉลี่ย การทดสอบไคสแควร์ (Chi-square) และการหาค่านัยสำคัญของความแตกต่างระหว่างข้อมูล (Significant difference) ผลการศึกษาวิจัยพบว่า 1. ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในทัศนคติของวุฒิสมาชิกสายทหารที่มีส่วนราชการที่สังกัด สถานภาพการรับราชการ จำนวนครั้งที่ดำรงตำแหน่งวุฒิสมาชิก การศึกษาในวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร และการดำรงตำแหน่งในคณะกรรมาธิการ ที่แตกต่างกัน ซึ่งส่วนใหญ่ ยอมรับว่าพรรคการเมือง เป็นสถาบันที่จำเป็นในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย 2. ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในทัศนคติของวุฒิสมาชิกสายทหารที่มีส่วนราชการที่สังกัด สถานภาพการรับราชการ จำนวนครั้งที่ดำรงตำแหน่งวุฒิสมาชิก การศึกษาในวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร และการดำรงตำแหน่งในคณะกรรมาธิการที่แตกต่างกัน ซึ่งส่วนใหญ่ยังไม่ยอมรับและยังไม่แน่ใจว่าพรรคการเมืองของไทยจะเป็นตัวแทนเรียกร้องผลประโยชน์ต่าง ๆ ให้กับประชาชนได้ แต่กลับเห็นว่าพรรคการเมืองของไทย มักจะแสวงหาผลประโยชน์ให้กับพรรค และกลุ่มที่สนับสนุนพรรคของตน 3. ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในทัศนคติวุฒิสมาชิกสายทหารที่มีส่วนราชการที่สังกัด สถานภาพการรับราชการ และการดำรงตำแหน่งในคณะกรรมาธิการที่แตกต่างกัน ซึ่งส่วนใหญ่ยังไม่ยอมรับเกี่ยวกับบทบาทและพฤติกรรมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในปัจจุบัน เพราะเห็นว่าเป็นผู้ที่ขาดอุดมการณ์ การศึกษา และประสบการณ์ทางการเมือง จึงยังไม่สนับสนุนให้แสดงบทบาททางการเมืองในรัฐสภาโดยลำพังฝ่ายเดียว เมื่อพิจารณาถึงจำนวนครั้งที่ดำรงตำแหน่งวุฒิสมาชิก การศึกษาในวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร พบว่ามีทัศนคติในประเด็นดังกล่าวแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 4. ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในทัศนคติของวุฒิสมาชิกสายทหารที่มีส่วนราชการที่สังกัด สถานภาพการรับราชการ จำนวนครั้งที่ดำรงตำแหน่งวุฒิสมาชิก การศึกษาในวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร และการดำรงตำแหน่งในคณะกรรมาธิการ ที่แตกต่างกัน ซึ่งส่วนใหญ่สนับสนุนให้ทหารเข้าแทรกแซงทางการเมือง ทั้งนี้เพื่อให้เกิดเสถียรภาพแก่รัฐบาล ผลจากการศึกษาวิจัยนี้ เป็นไปตามสมมุติฐานของการวิจัยทุกประการ 303 pages กนลา สุขพานิช-ขันทปราบ https://digiverse.chula.ac.th/digital/file_upload/biblio/cover/69376.jpg