Extraction of heavy metal ions in water using humic acids immobilized on silica

จากการคัดแยกราจากตัวอย่างดินและพืชน้ำมัน 21 แหล่งด้วยวิธีทำเป็นสารละลายเจือจาง ลดความเข้มข้นลงตามลำดับบนอาหารเลี้ยงเชื้อ PDA พบว่า สามารถแยกเชื้อราได้ทั้งหมด 70 ไอโซเลต และเมื่อนำราที่ได้มาทดสอบการสร้างไลเพสบนอาหารเลี้ยงเชื้อแข็ง BYPO ที่ใส่น้ำมันปาล์ม และโรดามีน บี พบว่ามีราจำนวน 38 ไอโซเลตสามารถสร...

Full description

Saved in:
Bibliographic Details
Main Author: Churirat Thanacharuphamorn
Other Authors: Apichat Imyim
Format: Theses and Dissertations
Language:English
Published: Chulalongkorn University 2006
Subjects:
Online Access:https://digiverse.chula.ac.th/Info/item/dc:38895
Tags: Add Tag
No Tags, Be the first to tag this record!
Institution: Chulalongkorn University
Language: English
Description
Summary:จากการคัดแยกราจากตัวอย่างดินและพืชน้ำมัน 21 แหล่งด้วยวิธีทำเป็นสารละลายเจือจาง ลดความเข้มข้นลงตามลำดับบนอาหารเลี้ยงเชื้อ PDA พบว่า สามารถแยกเชื้อราได้ทั้งหมด 70 ไอโซเลต และเมื่อนำราที่ได้มาทดสอบการสร้างไลเพสบนอาหารเลี้ยงเชื้อแข็ง BYPO ที่ใส่น้ำมันปาล์ม และโรดามีน บี พบว่ามีราจำนวน 38 ไอโซเลตสามารถสร้างไลเพสได้ จากนั้นนำราที่ได้มาเลี้ยงต่อใน อาหารเหลวสำหรับการสร้างไลเพสโดยใช้น้ำมันปาล์มเป็นตัวชักนำในการสร้างไลเพส เมื่อทดสอบ ความสามารถในการเร่งปฏิกิริยาของไลเพส พบว่า Fusarium solani (ราไอโซเลต NAN103) มีแอกทิวิตี จำเพาะสูงที่สุดคือ 87.73 ±0.99 ยูนิตต่อมิลลิกรัม จึงเลือกราไอโซเลต NAN103 มาชักนำให้เกิดมิวเทชัน เพื่อเพิ่มไลเพสแอกทิวิตี ขั้นแรกทำการคัดเลือกโคโลนีเดี่ยวที่เจริญจากสปอร์ของราไอโซเลต NAN103 ด้วยวิธีการคัดเลือกโดยธรรมชาติบนอาหารเลี้ยงเชื้อแข็ง PDA ได้โคโลนีเดี่ยวทั้งสิ้น 12 ไอโซเลต พบว่ารา ไอโซเลต NS4 มี แอกทิวิตีจำเพาะสูงที่สุดคือ 132.64 ±7.68 ยูนิตต่อมิลลิกรัม จึงเลือกราไอโซเลต NS4 ไปทำการชักนำให้เกิดมิวเทชันโดยใช้รังสีอัตราไวโอเลต โดยในขั้นตอนนี้สามารถคัดเลือกราได้ทั้งสิ้น 27 ไอโซเลต และพบว่าราไอโซเลต UV2002 มีแอกทิวิตีจำเพาะสูงที่สุดคือ 230.80 ±17.65 ยูนิตต่อมิลลิกรัม จึงเลือกรา ไอโซเลต UV2002 ไปทำการชักนำให้เกิดมิวเทชันต่อด้วยสาร NTG ซึ่งในขั้นตอนนี้สามารถ คัดเลือกราได้ทั้งสิ้น 14 ไอโซเลต พบว่าราไอโซเลต NTG022 มีแอกทิวิตีจำเพาะสูงและเสถียรกว่า ไอโซเลตอื่น ๆ เมื่อทำการเลี้ยงราถึงชั่วรุ่นที่ 6 คือ 93.14±8.33 ยูนิตต่อมิลลิกรัม ดังนั้นจึงพบว่าการชักนำ ให้เกิดมิวเทชันด้วยรังสีอัตราไวโอเลตและสาร NTG ยังไม่สามารถคัดเลือกมิวแทนต์ที่มีดีตามต้องการได้ นำสารละลายเอนไซม์จากราไอโซเลต NAN103 ทั้งหมด ทั้งที่ได้มาจากการคัดเลือกโคโลนีเดี่ยว 12 ไอโซเลต การชักนำให้เกิดมิวเทชันด้วยรังสีอัตราไวโอเลต 27 ไอโซเลต และการชักนำให้เกิดมิวเทชันด้วย สาร NTG 14 ไอโซเลต นำมาทดสอบความสามารถในการผลิตเมทิลเอสเทอร์ด้วยปฏิกิริยา ทรานส์เอสเทอริฟิเคชัน พบว่า สารละลายเอนไซม์ทุกไอโซเลตสามารถเร่งปฏิกิริยาในการสังเคราะห์ เมทิลเอสเทอร์ นอกจากนี้ยังนำสารละลายเอนไซม์จากราไอโซเลต NAN103 มาตรึงรูปด้วยวัสดุค้ำจุน 2 ชนิด คือ โดโลไมต์ และ ไดอะตอมมาเชียส เอิร์ธหลังการทำทรานส์เอสเทอริฟิเคชัน พบว่าน้ำเป็นปัจจัย สำคัญที่ช่วยในการสังเคราะห์เมทิลเอสเทอร์ด้วยปฏิกิริยาทรานส์เอสเทอริฟิเคชัน